วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีทำ อาหาร

สลัดผลไม้

ส่วนผสม
- ผลไม้ตามฤดูกาล แนะนำว่าให้ใช้ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติ
- น้ำส้มคั้น 1/4 ถ้วย
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1 ช้อนชา

ลงมือเข้าครัว
- นำผลไม้ที่เตรียมไว้มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอคำ ถ้าเป็นแอปเปิ้ล หลังจากหั่นแล้ว ก็นำไปแช่น้ำเกลือ เพื่อไม่ให้เนื้อแอปเปิ้ลดำ หรือถ้าเป็นองุ่นก็แค่แกะเป็นเม็ด ๆ พอค่ะ
 
- นำน้ำส้มคั้น น้ำผึ้ง เกลือ และน้ำมะนาว มาผสมให้เข้ากัน ชิมรส จากนั้นก็เทใส่แก้ว พักไว้เตรียมเป็นน้ำสลัด
 
- นำผลไม้ที่เตรียมไว้จัดใส่ชาม จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดที่ทำจากน้ำส้มคั้น หรือถ้าจะรับประทานเลย ก็ราดน้ำสลัดที่เตรียมไว้ลงไปได้เลย

เมนูจานนี้ นอกจากจะให้วิตามินที่ช่วยป้องกันโรคหวัดแล้ว ยังเหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการจะลด หรือควบคุมน้ำหนักด้วยนะคะ

วิธีทำน้ำผลไม้ปั่น

วิธีทำน้ำผลไม้ปั่น

  • กล้วย

    วิธีทำน้ำผลไม้ปั่น

    • กล้วย
    • ส้ม
    • แอปเปิ้ล
    • เเครอท
    • สัประรด
    • สตอเบอรี่

    * น้ำกล้วยหอมปั่น *

      ส่วนผสม
      • กล้วยหอมหั่นท่อนสั้น 1 ถ้วย
      • นมสด 3 ช้อนโต๊ะ
      • น้ำเชื่อม 1/ 2 ถ้วย
      • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
      • น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
      • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
      วิธีทำ 1. ใส่กล้วยหอม นมสด น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็งและน้ำต้มลงในโถปั่น ปั่นให้เข้ากันดี 2. เทใส่แก้วทรงสูง เสิร์ฟพร้อมหลอดดูด และไม้ คน หรือ จะแช่เย็นดื่มโดยไม่ใส่น้ำแข็ง

    * น้ำส้มปั่น *

      ส่วนผสม
      • ส้ม 4-5 ลูก
      • น้ำเชื่อม 3 1/2-4 ออนซ์
      • เกลือป่นเล็กน้อย
      • น้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเปรี้ยว
      • เเครอท 4-5 เเว่น เพื่อสีสันที่สวยงาม
      • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
      วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และตกเเต่งให้สวยงามด้วย ชิ้นส้มฝานบาง ๆ ที่ขอบเเก้ว

    * น้ำแอปเปิ้ลปั่น *

      ส่วนผสม
      • แอปเปิ้ลแดงหรือเขียวหั่น 1/2 ถ้วย
      • น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
      • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
      • น้ำแข็งป่น 1 แก้ว
      • น้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเปรี้ยว
      • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
      วิธีทำ 1.ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เครื่องปั่น หากชอบรสชาติเปรี้ยว อาจจะเติมน้ำมะนาวลงไปอีกเล็กน้อย 2.ใส่น้ำแข็ง น้ำเชื่อม และเกลือเล็กน้อย ปั่นให้น้ำแข็งละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จึงเทใส่แก้วพร้อมเสริฟ

    * น้ำแครอทปั่น *

      ส่วนผสม
      • แครอทหั่นเล็ก ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
      • น้ำเชื่อมเข้มข้น 8 ช้อนโต๊ะ
      • น้ำต้มสุก 2 แก้ว
      • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
      • เกลือ 1 ช้อนชา
      • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
      วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และตกเเต่งให้สวยงามด้วย ชิ้นเเครอทฝานบางที่ขอบเเก้ว

    * น้ำสัประรดปั่น [ Pineapple Mix ] *

      ส่วนผสม
      • เนื้อสับปะรด 1 ถ้วยตวง (หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า)
      • น้ำสับปะรด 1/2 ถ้วยตวง
      • น้ำแครอทผสมผลไม้รวม 2/3 ถ้วยตวง
      • เกรนาดีนสีเหลือง 2 ช้อนชา
      • เกรนาดีนสีแดง 2 ช้อนชา
      • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
      • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง + 1 ช้อนโต๊ะ
      • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
      • น้ำแข็งบดละเอียด 4 ถ้วยตวง
      วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นด้วยเครื่องปั่นอเนกประสงค์ประมาณ 1 นาที 2.เท Pineapple Mix ใส่แก้วสำหรับเสิร์ฟ ตกแต่งให้สวยงาม

    * น้ำสตอเบอรี่ปั่น [ Strawberry Smoothy ] *

      ส่วนผสม
      • สตอเบอร์รี่สดผ่าครึ่ง 1 ถ้วย
      • นมข้นหวาน 1 ออนซ์
      • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ออนซ์
      • นมสดรสจืด 2 ออนซ์
      • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
      • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
      วิธีทำ 1.นำทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และฝานสตรอเบอรี่สดแต่งหน้าให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟ


  • ส้ม
  • แอปเปิ้ล
  • เเครอท
  • สัประรด
  • สตอเบอรี่

* น้ำกล้วยหอมปั่น *

    ส่วนผสม
    • กล้วยหอมหั่นท่อนสั้น 1 ถ้วย
    • นมสด 3 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำเชื่อม 1/ 2 ถ้วย
    • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
    • น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
    • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
    วิธีทำ 1. ใส่กล้วยหอม นมสด น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็งและน้ำต้มลงในโถปั่น ปั่นให้เข้ากันดี 2. เทใส่แก้วทรงสูง เสิร์ฟพร้อมหลอดดูด และไม้ คน หรือ จะแช่เย็นดื่มโดยไม่ใส่น้ำแข็ง

* น้ำส้มปั่น *

    ส่วนผสม
    • ส้ม 4-5 ลูก
    • น้ำเชื่อม 3 1/2-4 ออนซ์
    • เกลือป่นเล็กน้อย
    • น้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเปรี้ยว
    • เเครอท 4-5 เเว่น เพื่อสีสันที่สวยงาม
    • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
    วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และตกเเต่งให้สวยงามด้วย ชิ้นส้มฝานบาง ๆ ที่ขอบเเก้ว

* น้ำแอปเปิ้ลปั่น *

    ส่วนผสม
    • แอปเปิ้ลแดงหรือเขียวหั่น 1/2 ถ้วย
    • น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
    • น้ำแข็งป่น 1 แก้ว
    • น้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเปรี้ยว
    • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
    วิธีทำ 1.ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เครื่องปั่น หากชอบรสชาติเปรี้ยว อาจจะเติมน้ำมะนาวลงไปอีกเล็กน้อย 2.ใส่น้ำแข็ง น้ำเชื่อม และเกลือเล็กน้อย ปั่นให้น้ำแข็งละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จึงเทใส่แก้วพร้อมเสริฟ

* น้ำแครอทปั่น *

    ส่วนผสม
    • แครอทหั่นเล็ก ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำเชื่อมเข้มข้น 8 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำต้มสุก 2 แก้ว
    • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือ 1 ช้อนชา
    • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
    วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และตกเเต่งให้สวยงามด้วย ชิ้นเเครอทฝานบางที่ขอบเเก้ว

* น้ำสัประรดปั่น [ Pineapple Mix ] *

    ส่วนผสม
    • เนื้อสับปะรด 1 ถ้วยตวง (หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า)
    • น้ำสับปะรด 1/2 ถ้วยตวง
    • น้ำแครอทผสมผลไม้รวม 2/3 ถ้วยตวง
    • เกรนาดีนสีเหลือง 2 ช้อนชา
    • เกรนาดีนสีแดง 2 ช้อนชา
    • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง + 1 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
    • น้ำแข็งบดละเอียด 4 ถ้วยตวง
    วิธีทำ 1.นำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นด้วยเครื่องปั่นอเนกประสงค์ประมาณ 1 นาที 2.เท Pineapple Mix ใส่แก้วสำหรับเสิร์ฟ ตกแต่งให้สวยงาม

* น้ำสตอเบอรี่ปั่น [ Strawberry Smoothy ] *

    ส่วนผสม
    • สตอเบอร์รี่สดผ่าครึ่ง 1 ถ้วย
    • นมข้นหวาน 1 ออนซ์
    • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ออนซ์
    • นมสดรสจืด 2 ออนซ์
    • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
    • น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย
    วิธีทำ 1.นำทุกอย่างใส่รวมกันในเครื่องปั่นผลไม้ 2.ปั่นให้ละเอียดแล้วเทใส่แก้ว และฝานสตรอเบอรี่สดแต่งหน้าให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟ

ิ่ิ่ิ่การนวดถูกวิธี

การนวดเท้าเพื่อสุขภาพ

การนวดเท้าเพื่อสุขภาพ

 

การนวดเท้าเป็นทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพ  ช่วยลดความเครียด คลายความ
ปวดเมื่อยและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ 
ขณะเดียวกันผู้นวดและผู้ถูกนวด
ต้องมีความระมัดระวังด้วย

ประโยชน์ในการนวดเท้า

    ช่วยส่งเสริมสุขภาพ โดยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลือง

    ทำให้อวัยวะต่างๆทำหน้าที่ได้สมดุล


อุปกรณ์ในการนวดเท้า

 

    1. บาล์ม

    2. ครีมนวด

    3. แอลกอฮอล์

    4. สำลี

    5. แป้งฝุ่น

 

 

     

    ไม้กดจุด(ไม้อาจารย์)




การพันผ้าห่อเท้า

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะละกอ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะละกอ (Papaya, Pawpaw, Tree Melon)

มะละกอ ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : mof.or.th
ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L.
วงศ์ CARICAEAE
          มะละกอ เดิมเป็นผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกา แต่ที่เข้ามาออกลูกออกหลานขยายพันธุ์อยู่เต็มบ้านของเราได้ เพราะชาวยุโรปได้นำมาแพร่พันธุ์จนกระทั่งได้กระจายไปทั่วทุกภาคเอเชีย โดยเฉพาะบ้านเราที่ขึ้นชื่อมาก แม้แต่ฝรั่งยังรู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามใหม่ว่า ปาปา ย่า ป๊อก ป๊อก
ลักษณะทั่วไป มะละกอ เป็นพรรณไม้เนื้ออ่อน สูงได้ถึง 8 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นตรงมีเนื้ออ่อนฉ่ำน้ำ
ใบ เป็นแฉก มีรอยเว้าเล็กๆ คล้ายขนนก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ซ.ม.
ดอก เป็นช่อ ดอกตัวผู้มีสีเหลืองออกสีเขียวอ่อน กลีบบางยาวประมาณ 2 ซ.ม. ดอกตัวเมียไม่มีก้านดอก ยาวประมาณ 7 ซ.ม. ออกเป็นดอกเดี่ยวและกระจุก กลีบดอกสีขาวออกเหลือง
ผล มีลักษณะกลมยาวรี ผลอ่อนภายนอกมีสีเขียวเนื้อในสีขาว แต่เมื่อสุกงอมได้ที่จะมีสีเหลืองส้ม เนื้อหนา นุ่ม รสฉ่ำหวาน มีเมล็ดคล้ายรูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระอ่อนค่อนข้างมาก ยาว 6-7 ซ.ม. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 ซ.ม.
ส่วนที่ใช้ ผล ยาง ราก ใบ

มะละกอ ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : ait.nisit.kps.ku.ac.th
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
นำผลดิบและผลสุกมาต้มกินเป็นยา ขับน้ำดี น้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลสุกเป็นยาแก้ท้องผูกที่วิเศษสุดๆ ถ่ายคล่องเป็นยาระบายได้อย่างดีเยี่ยม นำเนื้อสุกมาปั่น แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกใบหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น
คุณค่าทางอาหาร
  • มะละกอ สามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ ได้อย่างวิเศษมากมายหลายอย่าง
  • มะละกอดิบ ถ้าใช้ทำเป็นอาหารยอดนิยม คงหนีไม่พ้นส้มตำ
  • มะละกอดิบ หั่นเป็นแว่นๆ พอคำ นำไปแกงส้มใส่ปลาช่อนใส่กุ้ง
  • มะละกอสุก นำมาปลอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่น ผสมน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม และเหมาะสำหรับคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างมากมาย
  • มะละกอมีเกลือแร่ และวิตามินมาก มีคุณค่าทางอาหารไม่น้อย แคลเซียมในมะละกอช่วยป้องกันฟันผุ วิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยในบำรุงสายตาและระบบประสาท และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว
เว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

กล้วย ผลไม้เพื่อสุขภาพ

กล้วย (Banana)
กล้วย ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : charoenmotor.com
ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa Sapientum Linn.
วงศ์ MUSACEAE
กล้วย เปรียบเสมือนผลไม้สารพัดประโยชน์ ที่สามารถนำมาประกอบอาหาร ได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าส่วนใดของกล้วยก็สามารถนำมาใช้ได้ ผลอ่อน ผลแก่ หยวก ก้านใบช่อดอกหรือปลี ล้วนทั้งสามารถนำมาทำอาหารคาว หวาน หรือถนอมอาหารเก็บไว้ได้นาน เช่น กล้วยฉาบ กล้วยตาก
ลักษณะ กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุก สูงประมาณ 2-5 เมตร ลำต้นที่เห็นเป็นก้านใบหุ้มซ้อนกัน
ใบ หรือใบตองกล้วยมีใบขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นแผ่นยาวประมาณ 1.50 เมตร กว้างประมาณ 40-60 ซ.ม. มีสีเขียว เส้นใบขนานกัน
ดอก จะออกดอกเป็นช่อห้อยลงมามีกาบหุ้มสีแดงอมม่วง เรียกว่า หัวปลี รูปร่างกลมรี มีดอกย่อยติดกันมาเป็นแผง ดอกตัวเมียจะอยู่ที่ฐานส่วนดอกตัวผู้จะอยู่ช่วงปลาย
ผล หลังจากดอกตัวเมียเริ่มเจริญเป็นผล ดอกตัวผู้ก็จะร่วงไป ช่อดอกจะเจริญต่อไปเป็นเครือกล้วย ที่ประกอบด้วยหวีกล้วยประมาณ 7-8 หวี ผลกล้วยอ่อนมีสีเขียว พอแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ส่วนที่ใช้ ผลดิบ ผลสุก หัวปลี ยางกล้วยจากใบ
สรรพคุณทางยาสมุนไพร- กล้วย มีความสำคัญและมีประโยชน์ ตั้งแต่ด้านการใช้สอย ความเชื่อด้านพิธีกรรม ประโยชน์คุณค่าทางอาหารแล้วยังเป็นยารักษาโรคได้ดีอีกอย่างด้วย
- ผลกล้วยดิบ นำมาฝานทั้งเปลือกตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดเป็นผงชงดื่ม เป็นยาแก้ท้องเดิน และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ผลกล้วยสุก ช่วยในการระบายเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อนำผลสุก 1 ผล มาผสมกับน้ำผึ้งรับประทานก็จะช่วยระบาย
- รากกล้วย นำมาตำพอกแก้เคล็ดขัดยอก รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ยางกล้วย มีสารเทนินใช้สมานในการห้ามเลือด แผลสด แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคลิ้นเป็นฝ้าขาวในเด็ก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม นิยมนำมาทำเป็นแกงเลียงให้แม่ลูกอ่อนรับประทาน และยังบำรุงเลือดด้วย
- เปลือกกล้วย ที่รับประทานแล้วนั้น นำมาถูส้นเท้า ฝ่ามือ นิ้มป้องกันและระงับเชื้อแบคทีเรีย
กล้วย ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : school.net.thคุณค่าทางอาหาร
- กล้วย ไทยที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วโลกว่ามีรสหอมกว่ากล้วยของประเทศอื่น คือ กล้วยหอม ส่วนกล้วยที่ใช้ประโยชน์มากที่สุด คือ กล้วยน้ำหว้า วิธีใช้ในการประกอบอาหารของ กล้วย นั้นมีอยู่หลายวิธี
- กล้วยสุก นำไปเผาทั้งเปลือก แล้วขูดเอาแต่เนื้อนำไปบดกับข้าวถือว่าเป็นอาหารชนิดแรกของคนไทย นอกจากนมแม่
- กล้วยดิบ ใช้ทำเป็นแป้งไว้ผสมอาหารอื่น
- กล้วย นำมาถนอมอาหารสามารถเก็บไว้ได้นาน เช่น กล้วยฉาบ กล้วยตาก กล้วยกวน ข้าวเกรียบกล้วย
- กล้วยตานี หั่นเป็นแว่นๆ ดองน้ำส้ม เกลือ น้ำตาล เป็นผักจิ้มหรือของขบเคี้ยวอาหารว่าง
- กล้วยดิบ อื่นๆ ใช้แกงป่า ให้ทำต้มยำ
- หัวปลี ทำแกงเลียง ทำเครื่องเคียงขนมจีน น้ำพริก
- หยวกกล้วยอ่อน ใช้แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก
จะเห็นว่าคุณค่าทางโภชนาการและอาหารของกล้วยมีสูง ดีต่อร่างกาย หาซื้อง่าย หากรับประทานเป็นปกติก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะให้พลังงานสูง แคลเซียมในกล้วยช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน วิตามินก็ครบครันทั้งวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายตามปกติ วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และยังมีสารอาหารมากคุณค่าอื่นๆ อีก
ขอขอบคุณข้อมูล จากหนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ,ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว,
เว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com, เว็บไซต์ elib-online.com

มะขาม สมุนไพรเพื่อนสุขภาพ

มะขาม (Tamarind)

มะขาม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : เว็บไซต์ oknation.net

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica Linn.
วงศ์ CAESALPINIACEAE
มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ให้ประโยชน์ ทั้งให้ร่มเงาแถมผลยังสามารถนำมารับประทานดิบๆ โดยนำมาจิ้มพริกกับเกลือหรือน้ำปลาหวาน บ้างครั้งก็นำมาทำส้มตำ ทำน้ำพริก ฝักที่สุกแล้วนั้นยังนำมารับประทาน มีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน ตัวอย่างสรรพคุณทางยาสมุนไพร รับประทานเพื่อถ่ายพยาธิ
ลักษณะ มะขาม เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 8-20 เมตร โตช้ามีอายุอยู่ได้เป็นร้อยๆ ปี แตกกิ่งก้าน
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 8-12 คู่ขนาดเล็กรูปขอบขนานกว้างประมาณ 4-7 ซ.ม. ยาวประมาณ 1.2-1.8 ซ.ม. มีสีเขียว
ดอก จะออกเป็นช่อเล็กๆ บานจากล่างไปบน กลีบดอกช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 10-15 ดอก กลีบดอกสีเหลืองมีปนแดง มีรสเปรี้ยว
ผล เป็นฝัก ฝักอ่อนจะมีสรเขียวมีขนเป็นขุยสีน้ำตาลปกคลุม เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขณะที่ผลยังอ่อนอยู่เปลือกจะติดกับเนื้อ เมื่อแก่แล้ว เปลือกจะแยกออกจากเนื้อเปราะแตกง่าย เนื้อในเมื่อยังอ่อนไปจนถึงโตเต็มที่จะมีสีเขียวอมขาว แข็ง เมล็ดสีเขียว เมื่อผลแก่จัดเนื้อในจะเปลี่ยนเป็นสรน้ำตาลนิ่ม เมล็ดก็เปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลแข็งด้วย
ส่วนที่ใช้ ใบอ่อน ใบแก่ ฝักอ่อน ฝักแก่ ดอก เนื้อใน เมล็ดแก่และเนื้อไม้
มะขาม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : เว็บไซต์ moradokdoi.com
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
- ใบอ่อน มะขาม นำมาต้มเอาน้ำโขลกศีรษะ แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ส่วนใบสดก็นำมาต้มน้ำอาบหลังสตรีคลอดบุตรใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น เนื่องจากในใบมะขามสดมีรสเปรี้ยวมีกรดหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น
- ใบและดอก ของมะขามนำมาต้มรับประทาน น้ำช่วยลดความดันโลหิตได้ดีมาก
- มะขามเปียก นำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ จนเป็นลูกกลอน แล้วจิ้มเกลือเพียงเล็กน้อย รับประทานหรือกลืนพร้อมกับน้ำสะอาดเป็นยาระบาย ขับเสมหะ
- น้ำส้มมะขามเปียก ผสมกับเกลือ ใช้แก้ท้องผูก ใช้แก้พรรดึก โดยการสวนทวาร ใช้พอกตัวได้ โดยผสมกับขมิ้นและน้ำผึ้ง
- เมล็ดมะขาม นำที่แก่ได้ที่แล้วนำมาคั่วและกะเทาะเปลือกออกนำมาแช่น้ำที่ผสมเกลือป่นรับประทานเป็นยาขับพยาธิ ส่วนเปลือกที่กะเทาะออกังมีประโยชน์อย่านำไปทิ้ง รับประทานเป็นยาแก้อาเจียน แก้ท้องร่วง เป็นยาสมานธาตุ คุมธาตุ
- เส้นฝอย หุ้มเปลือกมะขามหรือเรียกว่า รก ใช้เป็นยาแก้ ประจำเดือนไม่ปกติ ดื่มน้ำมะขามจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายโดยเฉพาะคนไข้หรือผู้ที่อาศัยในที่ร้อนอบอ้าว และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำได้อีกด้วย
คุณค่าทางอาหาร
มะขาม มีคุณค่าวิเศษมากจริงๆ นำมาปรุงอาหารไทยๆ ได้หลายอย่างเพียงแค่นำมะขามที่แก่แล้วมาแกะเอาเมล็ดออกปั้นไว้เป็นก้อนๆ ก็จะได้มะขามเปียกเอาไว้รับประทานได้เป็นปีๆ ลองมาพิจารณากันว่า ประโยชน์ที่ได้จากมะขามมีมากมายเพียงใด
- มะขามเปียก ใช้เป็นเครื่องปรุงในแกงส้ม นำเอามะขามเปียกมาคั้นใส่น้ำแกงส้ม ไม่ว่าจะแกงส้มชนิดใดก็ตาม
- มะขามเปียก นำมาคั้นผสมกับน้ำพริกเผา ซึ่งจำเป็นมากเพราะน้ำพริกเผาจะขาดมะขามเปียกไม่ได้เลย
- มะขามเปียก เพียงแค่เอาน้ำมาคั้นใส่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก็จะได้ผัดไทยที่อร่อยครบสูตร
- มะขาม นำใบหรือยอดอ่อนๆ นำมาต้มรวมกับปลาช่อน ปลาสลิดเค็มเป็นต้มโคล้งแสนอร่อย
- มะขามเปียก นำมาคั้นใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดในอัตราส่วนที่เหมาะสมนำไปต้มเคี่ยวกับไฟอ่อนๆ ดื่มกับน้ำแข็งก้อนได้น้ำมะขามดื่มแก้กระหายได้อย่างสดชื่น
มะขาม มีวิตามินซีที่ต่อต้านอาการไข้หวัดได้สูง วิตามินเอช่วยในการบำรุงสายตาและการทำงานของระบบประสาท แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน หรือเหล็กก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เส้นใยอาหารและวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและสารอาหารสำคัญอีกมากมาย
ขอขอบคุณข้อมูล จาก หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ,lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

ส้มโอ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

 
ส้มโอ (Pummelo)
 
ส้มโอ ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : learners.in.th
 



ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus maxima Merr.
วงศ์ RUTACEAE
ส้มโอ นับเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก แคลเซียมสูง ผลจะนำมารับปรานกันเมื่อสุกแล้วนำมาปรุงอาหารได้ เช่น ยำส้มโอ เปลือกมีรสขมนิยมนำมาชาอิ่ม ประเทศจีนนิยมนำมาใช้เป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติ และแก้ไอ ใช้ผสมยาหอมรับประทาน


ลักษณะ ส้มโอ เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8-9 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาล
ใบ มีใบเดี่ยว รูปมนรี ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบมนเช่นเดียวกับโคนใบ
ดอก ออกดอกเดี่ยว หรือเป็นช่อ อยู่ตามง่ามใบ มีสีขาว มีกลีบดอก 4 กลีบ
ผล รูปร่างกลมโต เปลือกหนามีต่อมน้ำมันมาก ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่หรือสุกมีสีเหลือง ขนาดผลยาวประมาณ 9-10 ซ.ม. เนื้อในมีสีเหลืองอ่อนและสีชมพูมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดฝังอยู่ในเนื้อสีเหลืองอ่อนๆ
ส่วนที่ใช้ ผล เปลือกผล ใบ ดอก เมล็ด ราก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร
สรรพคุณทางยา ใน ส้มโอ นั้นมีอยู่มิใช่น้อยเลย ส้มโอนั้นสามารถป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยระบาย บำรุงหัวใจ แก้ไอ และขับเสมหะ
ผลส้มโอ ขับลมในลำไส้ แก้เมาเหล้า เปลือกผลของส้มโอจะช่วยขับเสมหะ จุกแน่นหน้าอก แก้ไส้เลื่อน
ใบส้มโอ นำมาต้มพอกศีรษะแก้ปวดหัว นอกจากนั้นยังเป็นยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้ออีกด้วย
ดอกส้มโอ แก้อาการปวดกระบังลม และปวดในกระเพาะอาหาร
เมล็ดส้มโอ ก็มีประโยชน์อยู่มากเช่นกัน แก้ไส้เลื่อน ลำไส้หดตัว แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหารได้อย่างมหัศจรรย์
 ส้มโอ ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : fruitty.212cafe.com
คุณค่าทางอาหาร
ส้มโอ นั้นนอกจากจะเป็นยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณอยู่มากแล้ว ยังนำมาประกอบอาหารจานเด็ดมากด้วยคุณค่าได้อีกเช่นกัน
ส้มโอ นำมาผสมกับน้ำเชื่อม ทำลอยแก้ว
ส้มโอ นำมาคั้นทำน้ำผลไม้ดื่มแก้กระหาย
ส้มโอ นำมาทำเป็นอาหารหรือกับแกล้มรสเด็ด อย่างเช่น ยำส้มโอ
ส้มโอ มีวิตามินและแร่ธาตุช่วยบำรุงร่างกายให้แข้งแรง อาทิ โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, แคลเซียม ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินบี 1 ช่วยในการย่อยอาหาร เสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ, วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และวิตามินซีที่มีมากจะช่วยในการป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และป้องกันโรคหวัดได้ดี


ขอขอบคุณข้อมูล จาก หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ,lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

มะเฟือง สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะเฟือง (Carambola, Star Apple)

มะเฟือง ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : gotoknow.org

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa Carambola
วงศ์ : AVERRHOACEAE
มะเฟือง ผักและผลไม้รสเปรี้ยวของบ้านเรา เป็นไม้ช่วยบังร่ม เจริญเติบโตในดินทุกชนิด ไม่ว่าจะชื้อแฉะหรือแห้งแล้ง ก็ตาม โดยเฉพาะภาคอีสานจะมีมาก เพราะนิยมนำ มะเฟือง มาทำเป็นผักแกล้มหรือเป็นเครื่องเคียงแหนมเนือง (อาหารชนิดหนึ่งของเวียดนาม) อีกทั้ง มะเฟือง สามารถกินสดๆ เป็นผลไม้หรือคั้นเป็นน้ำดื่ม นอกจากนั้นแล้วยังนำมาเป็นยาสมุนไพรในการรักษาโรคได้อีกทางด้วย
ลักษณะ มะเฟือง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางมีความสูงได้ถึง 8 เมตร มีใบคล้ายกับรูปขนนกออกเรียงกันเป็นคู่ๆ ยาวประมาณ 10-15 ซ.ม. ปลายใบแหลมฐานใบเบี้ยวเล็กน้อย ริมขอบใบเรียบและเกลี้ยง มีก้านใบย่อยสั้น ลักษณะของดอกเล็กออกจากง่ามใบ
ดอก มีสีขาวถึงสีม่วงอ่อน ผลมีรูปร่างกลมหรือกลมยาวมี 3-5 กลีบ ผลอ่อนมีสีเขียวออกเหลือง หากสุกหรือแก่งอมเต็มที่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกเมล็ด
ส่วนที่ใช้ ราก ผล ใบ ดอก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร
บรรพบุรุษของเรานำ มะเฟือง มาเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ มากมายหลายขนาน
ใบมะเฟือง นำใบสดๆ มาตำ ทาเป็นยารักษาโรคอีสุกอีใส และกลากเกลื้อน นำมาต้มรับประทานเป็นยาถอนพิษไข้
ผลมะเฟือง นำมาต้มรับประทานเป็นยา แก้บิด อาเจียนเป็นเลือด ขับปัสสาวะ ปวดฟัน นิ่ว และแก้เลือดออกตามไรฟัน
เปลือกลำต้นมะเฟือง นำมาดื่มแก้อาการเมาเหล้า เมารถ แก้ไข้ ท้องร่วง และแก้พิษยาเสพติดที่ร้ายกาจอย่างเฮโรอีนได้
 มะเฟือง ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : 212cafe.com
คุณค่าทางอาหาร
- นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงแล้ว ยังจัดเป็นดาวเด่นของวงการผักอีกด้วย
- มะเฟือง เป็นผักรสเปรี้ยวนำมารับประทานเป็นเครื่องเคียงกับแหนมเนืองอาหารเวียดนามได้เด็ดมาก
- มะเฟือง นำมาทำสลัดหรือปรุงอาหารประเภทไก่ ประเภทปลา หรือนำมาแปรรูปเป็นน้ำมะเฟืองอัดกระป๋องขาย

มะเฟือง มีวิตามินซีซึ่งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินใน มะเฟืองสด ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรง จับสารก่อมะเร็ง ช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง เพิ่มกำลังให้เสปิร์มของผู้ชายและทำให้เรารู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งในอารมณ์ ส่วนวิตามินบี 1 จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา มะเฟืองนี้เราถือว่าเป็นพืชสมุนไพรอย่างหนึ่งในการบำบัดรักษาโรค สามารถนำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้หวัดใหญ่ ส่วนรากต้มกินแก้ท้องร่วง และผลสามารถนำมาสระผมบำรุงเส้นผมให้เงางาม และขจัดรังแค

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว ,lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

มะนาว สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะนาว (Common Linne, Lime)
มะนาว ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : fm100cmu.com
ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus aurantifolia Swing
วงศ์ RUTACEAE
มะนาว ถือเป็นผักและผลไม้ เพราะ มะนาว นำมาประกอบอาหารเป็นเครื่องปรุงแต่งรสอาหาร มีรสเปรี้ยว ทั้งยังนำมาเป็นผลไม้โดยคั้นเอาน้ำมาดื่มกันสดๆ หรือนำไปปั่นดื่มแก้กระหายได้ทุกโอกาส ถ้าใครอยากมีผิวพรรณสวยผิวดีก็ต้องบริโภคน้ำมะนาวเป็นประจำ เพียงวันละแก้วก็เพียงพอแล้ว นอกจากนั้น มะนาว ยังมีคนนำมาผสมกับเครื่องสำอางเช่น ครีมล้างหน้าก็มี สรรพคุณทางสมุนไพรก็มีมากเหลือเกิน
มะนาว ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : fm100cmu.com
ลักษณะ มะนาว เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1.5-4 เมตร แตกกิ่งก้านสาขา ต้มกิ่งมีหนามแหลมคม เปลือกลำต้นมีผิวเรียบเกลี้ยง
ใบ เป็นใบประกอบใบย่อยใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันมีครีบ มีกลิ่นหอม
ดอก ออกเป็นช่อร่วมกันเป็นกระจุกเล็กๆ ประมาณ 5-7 ดอก มีสีขาวกลิ่นหอม
ผล กลมผิวเรียบเกลี้ยง มีหลายขนาดแล้วแต่พันธุ์ ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม เมื่อแก่ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4.5 ซ.ม. ภายในผลมีน้ำรสเปรี้ยวจัด ภายในเนื้อมีเมล็ดสีเหลืองอ่อน รูปร่างกลมรี
ส่วนที่ใช้ ผิวผล ผลแก่จัด ใบ ราก
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
มะนาว มีคุณค่าสรรพคุณทางยามากมาย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ปรุงยารักษาโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
มะนาว นำมาคั้นหรือบีบเอาน้ำนับว่ามีสรรพคุณมากมาย น้ำมะนาวนำมาผสมกับดอกดีปลีที่ฝนกับน้ำสุก ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อยรับประทานเป็นยาแก้เสมหะ แก้เจ็บคอ
น้ำมะนาว นำมาผสมกับสีเสียดที่บดละเอียดตามสัดส่วนที่เหมาะสม แล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผลสด ห้ามเลือดได้ดีมากแผลแห้งหายเร็ว
น้ำมะนาวสด นำมาผสมกับดินสอพอง ทารักษาอาการอักเสบช้ำบวม
น้ำมะนาว นำมารับประทานช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด และละลายก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
น้ำมะนาว นำมาทาบริเวณผิวหนังที่หยาบกร้าน หนา แข็ง จะค่อยๆ อ่อนนุ่ม รักษาโรคติดเชื้อที่ผิวหน้า นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงประสาท ลดความดันโลหิตสูง ป้องกันบาดทะยัก รักษาอาการโลหิตจาง รักษาโรคกระเพาะอาหารและโรคบิดได้ชะงัดนัก
เปลือกมะนาว นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกให้ละเอียดนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มเช่นเดียวกับชา แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว จุดเสียดแน่นท้อง คลื่นเหียน อาเจียน
เปลือกมะนาว นำมาโขลกให้ละเอียดรวมกับน้ำมะนาวผสมกับน้ำต้มสุกให้หมักผมประมาณ 10 นาที แล้วสระออกช่วยกระตุ้นให้รากผมตื่นตัว เจริญงอกงาม รังแคหาย เส้นผมสะอาด หนังศีรษะสะอาด
ใบมะนาว นำใยสดมาต้มดื่มแก้ไอ แก้ท้องอืด ขับลมทำให้เจริญอาหาร
มะนาว ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : spcomputerkrabi.com
คุณค่าทางอาหาร
มะนาว คั้นหรือบีบเอาน้ำมะนาวมาปรุงอาหารต่างๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทยำ น้ำพริกปลาทู น้ำพริกปลาร้า ลาบ ส้มตำ หรือจะเอาผลไปดองไว้ปรุงอาหาร ประเภทต้มหรือแกงได้รสชาติที่อร่อยถูกปาก น้ำมะนาว เมื่อนำมาผสมกับเกลือป่นใส่น้ำแข็ง ดื่มแก้กระกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วยมะนาว นั้น มีสารอาหารอยู่หลายชนิด เช่น Slaronoid Organic acid citral โดยเฉพาะวิตามินซีนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยออกฤทธิ์รักษาโรคลักปิดลักเปิดได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ต่างๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว
เว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

มะปราง ผลไม้เพื่อนสุขภาพ

มะปราง (Plum Mango)


มะปราง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bouea macrophylla Griff
วงศ์
ANACARDIACEAE
มะปราง มีรูปร่างยาวรี มีสีเหลือง รสหวาน หรือหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มะปรางเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน นิยมปลูกกันมากทางภาคใต้
มะปรางลักษณะ มะปรางเป็นพรรณไม้ยืนต้น มีขนาดสูงประมาณ 20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ลำต้นมีผิวเปลือกค่อนข้างขรุขระ เป็นร่องสีน้ำตาลอมเทา
ใบ
ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ใบรูปร่างยาวรี ช่วงปลายมีกิ่งแหลม ยาวประมาณ 10-20 ซ.ม.
ดอก
ออกเป็นช่อกระจาย ขนาดเล็กสีเหลือง
ผล
รูปร่างยาวรี คล้ายรูปไข่ ยาวประมาณ 5-6 ซ.ม. ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกหรือแก่มีสีเหลืองส้ม
เปลือก
มีผิวเกลี้ยงเป็นมัน ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด
ส่วนที่ใช้
ผล ใบ น้ำจากต้น ราก
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
ผลมะปราง ใช้รับประทานเป็นผลไม้
รากมะปราง
เป็นยาเย็น ใช้ถอนพิษไข้ต่างๆ
น้ำจากต้นมะปราง
ใช้เป็นยาอมกลั้วคอ
ใบมะปราง
ตำใช้พอกแก้ปวดศีรษะ
คุณค่าทางอาหาร
เราสามารถนำมะปรางมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้ ซึ่งได้รสชาติที่ดีด้วย ในผลมะปรางสุกนั้นปรากฏว่ามีวิตามินซีมากมาย ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันและโรคหวัด แถมยังมีแคลเซียม ช่วยป้องกันกระดูกและฟัน เปราะหักง่าย วิตามินบี 1 ในมะปรางช่วยในการย่อยอาหาร เสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ ป้องกันเหน็บชา และวิตามินบี 2 ช่วยในการทำงานของร่างกายในด้านการเจริญเติบโตที่เป็นปกติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือคัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว
เว็บไซต์
: ifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

มะขามป้อม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะขามป้อม (Malacca tree)
มะขามป้อม ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ skn.ac.th
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica Linn.
วงศ์ EUPHORBIACEAE
มะขามป้อม เป็นผลไม้เก่าแก่ ที่คนเฒ่าคนแก่จะรู้จักและตระหนักถึงคุณค่าของ มะขามป้อม เป็นอย่างดี ว่ากันว่าชนชาติที่รู้จัก มะขามป้อม มาช้านาน และแพร่หลายมากที่สุดในโลกเห็นจะได้แก่อินเดีย ซึ่งให้ความนับถือมะขามป้อมมากถึงกับขนาน มะขามป้อม ว่าเป็นพยาบาลที่ดูแลสุขภาพอยู่ข้างกายอีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนแม่ที่ดูแลรักษาลูกอยุ่เสมอ นอกจากนั้นยังมีการเล่าขานกันว่า เมื่อครั้งสมัยพุทะกาล พระพุทะเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายฉัน มะขามป้อม เป็นโอสถได้
ลักษณะ มะขามป้อมเป้นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ
ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซ.ม.
ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว
ผล
รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซ.ม. เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซ.ม.
ภายในเนื้อ
มีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
มะขามป้อม ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ dhammajak.net รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต
รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้
เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิด และฟกซ้ำ
ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก
ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ
ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตา หรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง
เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้ตุ่มคัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน
คุณค่าทางอาหาร
มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกัน คือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่า ทุกส่วนของมะขามป้อม มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผล มีวิตามินซีสูงถึง 700-100 มิลลิกรัม มะขามป้อมนับว่า เป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อม เป็นยาบำรุงและบำบัดโรคกันเถอะ วิธีง่ายๆ โดยวิธีทำเป็นมะขามป้อมกวนหรือลูกอมก็ได้ ถือเป็นการส่งเสริมสมุนไพรไทยอีกทางหนึ่ง จะเห็นได้ว่าในมะขามป้อมนั้น มีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซี ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ : lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

มะม่วง สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

          มะม่วง (Mango)
          มะม่วง ผลไม้ในครัวเรือน พบได้ทั่วไปตามบ้านเรือน ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายมาเป็น สมุนไพรรักษาโรคที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มาดูกันว่า เจ้ามะม่วงนั้น มีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง …
มะม่วง ขอบคุณภาพประกอบจกาเว็บไซต์ nongmaiclub.com

          ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera indica Linn.
          วงศ์ ANACARDIACEAE
          มะม่วง ผลไม้ยอดฮิตที่นิยมบริโภคตลอดปี ไม่ว่าจะบ้านไหน เรือนไหนก็นิยมปลูกกันไว้ในรั้วบ้าน มะม่วง นอกจาก จะนำมารับประทานได้หลายรูปแบบแล้วยังเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาได้เป็นอยางดี ส่วนอื่นๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ ดอกมะวม่วง มีวิตามินเอและซีสูง และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เรียกได้ว่า มะม่วงลูกหนึ่งมีสารอาหารเกือบ ครบเลยทีเดียว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาจหายไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะมะม่วงก็มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากเหมือนกัน
 มะม่วง ขอบคุณภาพประกอบจกาเว็บไซต์ wineandfoodtube.com      
          ลักษณะ มะม่วง เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง เปลือกต้นหนาสีเทาขรุขระแตกเป็นเกร็ดๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมาย
          ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะของใบเรียวแหลม คล้ายรูปหอก กว้าง 2-9 ซ.ม. ยาว 10-30 ซ.ม. ใบหนารอบใบเรียบ
          ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อหนึ่งมีประมาณ 15-20 ดอก แต่ละช่อมีดอกย่อยถึง 3000 ดอก มีสีเหลืองอ่อน มี กลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีกลีบดอก 5 กลีบ
          ผล มีรูปร่างคล้ายรูปไต ผลดิบมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองและรสหวาน หนึ่งผลมีเมล็ดเดียว ลักษณะแบน เป็นรูปไข่รีขนาดใหญ่
          ส่วนที่ใช้ เมล็ด ผล ใบ เปลือกลำต้น
          สรรพคุณทางยาสมุนไพร
          เมล็ดสดๆ มารับประทาน หรือนำมาโรยเกลือ รับประทานเพื่อขับปัสสาวะหรือแก้บวมน้ำ เนื้อในเมล็ดใช้แก้ท้องร่วง
          ผลมะม่วง นำมาคั้นรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะหรือร้อนใน แก้คลื่นไส้ แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร
          ใบมะม่วง นำมาพอประมาณต้มรับประทานแก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้ลำไส้อักเสบ หรือใช้ใบสดๆ ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลสด จะเป็นยาสมานแผลสดได้ดีที่เดียว
          เปลือกลำต้นมะม่วง ใช้เปลือกสดๆ มาต้มรับประทานเป็นยาแก้โรคคอตีบ เยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ

มะม่วง ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ alibaba.com

          คุณค่าทางอาหาร
          มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว เอาไปทำของคาวได้หลายอย่าง ที่เห็นบ่อยมากคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ ในส่วนที่นำไปเป็นของว่างนั้น มะม่วงดิบรับประทานเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน เมี่ยงส้ม มะม่วงสุกที่มีรสหวาน นำมารับประทานกับข้าวเหนียว กวนเป็นแผ่น หรือนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้ มะม่วงอุดมด้วยฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันไม่ให้เปราะหักง่าย นอกจากนั้นยังมีวิตามินซี อยู่ในปริมาณมาก ช่วนเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคหวัด และมีวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด

ประวัติพระพุทธเจ้า

 ประวัติพระพุทธเจ้า


ประวัติพระพุทธเจ้า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก learntripitaka.com

          "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ
          พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

          ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)
          ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

          ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

 ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

          เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

          เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช

ประวัติพระพุทธเจ้า


          วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


 ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

          หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

          จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์
          หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


 ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้

ประวัติพระพุทธเจ้า

          ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา          หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

          ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

          ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
          ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
          หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

ประวัติพระพุทธเจ้า


          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว   อานนท   ธมม  จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต  โส  โว  มมจจเยน  สตถา" อันแปลว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว  บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย  ธรรมวินัยนั้น  จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

          พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก  ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

          ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต) 
          จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช

ประวัััติสาสตร์ไทย



ประวัััติสาสตร์ไทย

ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[1] ทั้งยังมีหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณในอาณาเขตดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
อาณาจักรสุโขทัยซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1781 ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ยังมี แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ อาณาจักรอยุธยาก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 1893 มีความยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรสุโขทัยเดิม เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก ก่อนจะล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310 พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการเสียดินแดนหลายครั้งให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่อาณาจักรสยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ อันนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านการก่อรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตการณ์การเมือง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2548

เนื้อหา

 [ซ่อน]

การแบ่งยุคสมัย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย”
การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1"[2] ซึ่งการลำดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับกำเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน มีข้อเสนอใหม่ ๆ เกี่ยวกับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาบ้าง ที่สำคัญคือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เสนอถึงหัวข้อสำคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้[3]

ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประเทศไทย

แผนที่แสดงรัฐโบราณในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน
- ชนพื้นเมืองและการอพยพเข้ามาในประเทศไทย - นักมานุษยวิทยาได้จัดประเภทมนุษย์สมัยโบราณรุ่นแรกในตระกูลออสโตเนเซียน ซึ่งเป็นพวกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อหลายพันปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ต่อมา มนุษย์ในตระกูลมอญและเขมรจะอพยพเข้ามาจากจีนหรืออินเดียด้วย ก่อนที่พวกไทยจะอพยพเข้ามาแย่งชิงดินแดนจากพวกละว้า ซึ่งเป็นชนชาติล้าหลังวัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกละว้า>

แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท

รัฐโบราณในประเทศไทย

จากหลักฐานด้านโบราณคดี ตำนาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอำนาจในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว[4] โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง[5]

สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา

ดูบทความหลักที่ อาณาจักรสุโขทัย และ อาณาจักรล้านนา
การล่มสลายของจักรวรรดิขะแมร์เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิดอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1781 อาณาจักรสุโขทัยขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์[6] ลักษณะการปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก เนื่องจากมีความใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองและราษฎร แต่ในรัชสมัยพญาลิไทก็ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธเข้ามา
ในช่วงเวลาเดียวกันอาณาจักรล้านนา ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1802 โดยพญามังราย ที่ขยายอำนาจมาจากลุ่มแม่น้ำกกและอิง สู่ลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ และทรงมีสัมพันธ์อันดีกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย อาณาจักรเชียงใหม่หรือล้านนา มีอำนาจสืบต่อมาในแถบลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับอาณาจักรอยุธยา หรือกรุงศรีอยุธยา ที่เรืองอำนาจในพุทธศตวรรษที่ 19-20 มีการทำสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเชียงใหม่ได้ปราชัยต่อพม่า ในปีพ.ศ. 2101 ถูกพม่ายึดครองอีกครั้งในราวปี 2310 กระทั่งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและ พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนา โดยหลังจากนั้น พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงปกครองอาณาจักรล้านนา ในฐานะประเทศราชสยาม

สาเหตุการเลือกอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย

นักวิชาการให้เหตุผลในการเลือกเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยไว้ 2 เหตุผล ได้แก่:
  1. วิชาประวัติศาสตร์มักจะยึดเอาการที่มนุษย์เริ่มมีภาษาเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ หลักฐานประเภทลายลักษณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเมื่อประกอบกับการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จึงเหมาะสมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
  2. เป็นการสะดวกในด้านการนับเวลาและเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์มีหลักฐานความสืบเนื่องกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ เหตุผลทั้งสองประการก็ยังไม่เป้นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันท์นัก[7]

สมัยอาณาจักรอยุธยา

ดูบทความหลักที่ อาณาจักรอยุธยา
พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 ซึ่งในช่วงแรกนั้นก็มิได้เป็นศูนย์กลางของชาวไทยในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนทั้งปวง แต่ด้วยความเข้มแข็งที่ทวีเพิ่มขึ้นประกอบกับวิธีการทางการสร้างความสัมพันธ์กับชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุดอยุธยาก็สามารถรวบรวมกลุ่มชาวไทยต่าง ๆ ในดินแดนแถบนี้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจได้ นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการติดต่อกับต่างประเทศอยู่หลายชาติ โดยชาวโปรตุเกสได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้น ชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ชาวดัตช์ ชาวฝรั่งเศส ชาวจีน และชาวญี่ปุ่น
ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น การสงครามอันยาวนานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในที่สุด ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีต่อมา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจักรล้านนา ไปจรดคาบสมุทรมลายูทางทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ทำให้ถูกสังหารโดยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทำสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลทำให้อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2310

สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ดูบทความหลักที่ อาณาจักรธนบุรี
ในปี พ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร เริ่มยุคสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้แคว้นล้านนาปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สงครามเก้าทัพสงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจนกบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และอานามสยามยุทธกับญวน
ในช่วงนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด[8] มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ[8] ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น สนธิสัญญาเบอร์นี และสนธิสัญญาโรเบิร์ต[8] แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้าฝิ่นอันได้กำไรมหาศาล[8] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก

การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก

ดูเพิ่มที่ สยาม
ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนินนโยบายทอดไมตรีกับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก และเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถรักษาเอกราชของตนไว้ได้

การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

ดูบทความหลักที่ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยอย่างมาก และทำให้สถาบันกษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก
ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ในระบอบเผด็จการทหาร

สงครามโลกครั้งที่สอง

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกรานอินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่ การรบที่เกาะช้าง
ต่อมา หลังจากการโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น

สงครามเย็น

รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามเย็น ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม
ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด

การพัฒนาประชาธิปไตย

หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน